1. รู้หรือไม่? ส่วนผสมกว่า 14,000 ชนิด จาก 82,000 ชนิดในเครื่องสำอางนั้น เป็นสารเดียวกันที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตยาฆ่าแมลง จึงมีทั้งสารก่อมะเร็งและสารที่ทำให้ฮอร์โมนผิดปกติมากมาย
  2. แล้วรู้มั๊ยคะ ว่าสหภาพยุโรปได้ออกมาแบนสารเคมีต่างๆกว่า 1,000 ชนิดว่าห้ามใส่ในเครื่องสำอางมานานมากแล้ว
  3. ยิ่งไปกว่านั้น คณะกรรมการด้านอาหารและยา (อย.) ไม่มีสิทธิ์ยึดสินค้าที่จัดอยู่ในกลุ่มอันตรายเหล่านั้นจนกว่าผู้ผลิตจะออกมายอมให้ตรวจสอบซะเอง

    ดังนั้นเราต้องมาดูแลตัวเองกันค่ะ เปลี่ยนวิธีปรินนิบัติผิวพรรณและเส้นผมซะใหม่ให้ห่างไกลจากสารเคมีให้มากที่สุด เพราะสกินแคร์และเครื่องสำอางที่เต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายมากมายยังมีวางขายให้เกลื่อนตลาด

    เริ่มต้นด้วยการเช็คส่วนผสมในสกินแคร์แต่ละชิ้นว่ามีสารอันตรายรึเปล่านะคะ (แอมชอบคำนี้ค่ะ “กันไว้ดีกว่าแก้”)

    • Parabens (พาราเบน) : เป็นสารกันเสียที่สกินแคร์และเครื่องสำอางทั้งหลายชอบใช้กันค่ะ

      อันตราย : พาราเบนจะเข้าไปจับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ทำให้การทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์ผิดปกติ ระงับการทำงานของต่อมไทรอยด์ รวมไปถึงอาจทำให้เกิดมะเร็ง เพราะฮอร์โมนที่ทำงานผิดปกติ โดยคณะกรรมาธิการยุโรปได้ประกาศห้ามใช้สารเคมีในกลุ่มพาราเบนไว้ดังนี้ ได้แก่ Isopropyl-, Isobutyl-, Phenyl-, Benzyl-, และ Pentylparabens

      คำเตือนสำคัญ : สารต้องห้าม 5 อย่างนี้ยังถูกอนุญาตให้ใช้ได้ในอเมริกาและไทยค่ะ

    • Fragrances (น้ำหอมสังเคราะห์) และ Phthalates : น้ำหอมสังเคราะห์มีมากมายถึง 3,000 กว่าชนิด ส่วน Phthalates ก็เป็นสารที่ทำให้น้ำหอมติดทนนานขึ้น (พบมากในผลิตภัณฑ์กลุ่มยาทาเล็บและสเปรย์ตกแต่งผม) แอมอยากให้พวกเราสังเกตง่าย ๆ จากรายชื่อส่วนผสมในฉลากด้านหลังนะคะ ว่ามีสารจำพวก DEP, BBzP, DBP, DEHP อยู่ไหม

      อันตราย : น้ำหอมสังเคราะห์นั้นเป็นตัวการสำคัญให้เกิดอาการแพ้ หอบหืด ส่วนพาทาเลตนั้นมีส่วนเชื่อมโยงไปถึงการทำงานของระบบสืบพันธุ์และฮอร์โมนในเด็กและผู้ชาย ส่งผลต่อการผลิตสเปิร์มได้น้อยลง มะเร็งเต้านม ภาวะมีบุตรยาก รวมไปถึงโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย

    • Ethoxylated Agents : เป็นสารในกลุ่มพวกลดแรงตึงผิว รวมถึง Polyethylene glycols (PEGs), Ceteareths, Oleth และ Sulfates ซึ่งเป็นสารทำให้เกิดฟอง พบมากในแชมพูและสารทำความสะอาดต่างๆค่ะ
      Sulfate นั้นได้มาทั้งจากการสังเคราะห์ขึ้นมา บางชนิดก็ทำมาจากกำมะถันและปิโตรเลียม หรือมาจากแหล่งธรรมชาติอย่างน้ำมันปาล์มหรือน้ำมันมะพร้าว ส่วน PEGs นั้นเป็นตัวทำละลาย เพิ่มความหนานุ่มในครีมนวดผมหรือครีมบำรุง

      อันตราย : Sodium laurel sulfate ขึ้นชื่อว่าเป็นสารทำความสะอาดที่มีฤทธิ์รุนแรงถึงขั้นทำให้เกล็ดผมเปิดหรือหนังศีรษะลอก บางครั้งจึงถูกนำไปแปลงให้เป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่ชื่อ 1,4-dioxane ซึ่งปนเปื้อนอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ประจำวันหลายชนิด จัดเป็นสารก่อมะเร็งที่เป็นอันตรายและเป็นพิษต่อร่างกาย

      คำเตือนสำคัญ : ในท้องตลาดมีสินค้าที่มี 1,4-dioxane มากกว่า 1 ใน 5 ของสินค้าทั้งหมด และที่สำคัญคือสารเคมีชนิดนี้ไม่ได้ถูกระบุแจ้งไว้บนฉลากสินค้าของบางประเทศ เนื่องจากสารเคมีชนิดนี้ก่อตัวขึ้นเมื่อส่วนผสมในสินค้าทำปฏิกิริยากัน

    • Formaldehyde : ถือเป็นสารกันเสียที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ พบมากในทรีทเมนต์เคราตินเพิ่มความเรียบลื่นที่จะทำให้เส้นผมชี้ฟูกลับมาตรงสวย

      อันตราย : เป็นสารก่อมะเร็ง (แต่ก็มีบางผลิตภัณฑ์ที่เคลม Formaldehyde free แล้วใส่สารอันตรายอื่น ๆ แทน เช่น Methylene glycol, Formalin, Methanal, Methanediol ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดมะเร็งได้ไม่แพ้กัน)

      ดังนั้นอย่าไปยึดติดกับแค่คำเคลมบนผลิตภัณฑ์ว่า Natural หรือ Formaldehyde free นะคะ แอมยืนยันว่าวิธีที่ดีที่สุดคือหมั่นอ่านฉลากให้ละเอียดก่อนซื้อ ว่ามีส่วนผสมอันตรายดังที่กล่าวข้างต้นหรือไม่ รวมถึงเวลาไปสปาหรือซาลอน เราต้องขอช่างทำผมดูกล่องหรือขวดผลิตภัณฑ์นั้นๆทุกครั้งก่อนจะใช้กับผมเรา

    • Refined Petroleum (ผลพลอยได้จากการกลั่นน้ำมันดิบ) : เช่น Mineral oil (Petrolatum, Paraffin – พาราฟิน) พบได้ทั่วไปในสารให้ความชุ่มชื้น ไม่ว่าจะเป็นลิปบาล์ม หรือครีมบำรุงหน้า

      อันตราย : จากรายงานปี 2011 พบว่า Mineral oil เป็นสารปนเปื้อนที่พบมากที่สุดในร่างกายมนุษย์คะ เกิดจากการใช้สกินแคร์และเครื่องสำอางสะสมมาเป็นเวลานาน อีกทั้งยังถูกจัดเป็น 1 ในสารก่อมะเร็งโดยองค์กรอนามัยโลก (WHO) อีกด้วย

    • Hydroquinone (ไฮโดรควิโนน) : สารฟอกขาวที่ถูกพูดถึงกันมากมาย พบมากในกลุ่มเซรั่มและครีมหน้าขาวค่ะ

      รู้ไหมคะ ว่าเราสามารถเห็นสกินแคร์ที่มีไฮโดรควิโนนเข้มข้นถึง 2% วางขายตามท้องตลาดทั่วไป (แถมยังเข้มข้นขึ้นไปได้อีกถ้าถูกสั่งจ่ายโดยแพทย์ น่ากลัวใช่มั๊ยคะ)

      อันตราย : มีผลเชื่อมโยงไปถึงการก่อมะเร็ง ลดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้การทำงานของต่อมหมวกไตผิดปกติ รวมถึงทำให้เกิดฝ้าถาวรได้ (คือใช้เพื่อลดฝ้าในระยะแรก แต่สุดท้ายทำให้เกิดฝ้าถาวรค่ะ)

      ด้วยผลเสียต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และ ออสเตรเลีย จัดไฮโดรควิโนนให้เป็นสารต้องห้ามในสกินแคร์และเครื่องสำอางไปแล้วเรียบร้อย

    • TALC : พบได้ทั่วไปในแป้งทาหน้าและอายแชโดว์ ทำจากแร่ Magnesium, Silicon, Hydrogen และ Oxygen

      อันตราย : Talc ที่ยังไม่ผ่านการทำให้บริสุทธิ์นั้นจะปนเปื้อนไปกับแร่ใยหิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะมะเร็งรังไข่และมะเร็งเยื่อหุ้มปอด แม้กระทั่งแป้งเด็กชื่อดังอย่าง Johnson & Johnson ยังเคยถูกสำนักข่าวรอยเตอร์ตรวจจับได้ว่ามีสาร Talcum-based อยู่ในผลิตภัณฑ์ของตัวเองมานานหลายสิบปี ส่งผลให้สภาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางได้ทำการออกกฏเข้มงวดถึงการสั่งห้ามใช้ Talc มากขึ้น

    • Triclosan (ไตรโคลซาน) :คือสารแอนตี้แบคทีเรียชนิดหนึ่ง พบได้ในผลิตภัณฑ์เจลล้างมือ สบู่อาบน้ำ มาสคาร่า และยาสีฟัน

      อันตราย : นอกจากจะมีส่วนทำให้เกิดพังผืดในตับ มะเร็งผิวหนัง ระงับการทำงานของฮอร์โมนแล้ว ยังมีหลักฐานทางวิชาการว่าไตรโคลซานไม่ได้มีประสิทธิภาพพิเศษมากไปกว่าการทำความสะอาดด้วยสบู่หรือน้ำเปล่า ในปี 2019 คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของสหรัฐฯจึงได้ออกมาสั่งห้ามใช้ไตรโคลซานในเจลล้างมือหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่าง ๆ ค่ะ

    แอมอยากให้ทุกคนเริ่มจากความจริงที่เข้าใจง่ายๆกันยังงี้ค่ะ

    “ถ้าสิ่งที่เราทาลงไปนั้นต้องอยู่ค้างบนผิวหน้าเราทั้งวัน (เช่น มอยซ์เจอไรเซอร์) หรือบนพื้นผิวที่ใหญ่กว่านั้นอย่างเช่น ผิวกาย(บอดี้โลชั่น) จะดีกว่ามั๊ยถ้าเราจะเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีน้อยที่สุด”

    โดยแอมแนะนำให้พวกเราทุกคนเริ่มต้นจากครีมกันแดด สบู่ล้างมือ บอดี้โลชั่น สบู่เหลวอาบน้ำ หรือครีมระงับกลิ่นกาย จากนั้นจึงค่อย ๆ ขยับไปเป็นแชมพู ครีมนวด ครีมบำรุงผิวที่ทำจากธรรมชาติค่ะ โดยพยายามสังเกตที่ฉลากเพื่อหลีกเลี่ยงสารอันตรายเหล่านี้ให้มากที่สุดกันนะคะ

รักและห่วงใยสุขภาพควบคู่ไปกับความงามดีที่สุดค่ะ
แอม
Orchid & Me

0